เส้นทาง “การคลังไทย” ในช่วงวิกฤติ – บทเรียนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

ตลอดระยะเวลา 150 ปีของการก่อตั้ง “กระทรวงการคลัง” ประเทศไทยได้เผชิญกับวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจมาหลายครั้ง แต่ละครั้งกระทรวงการคลังได้แสดงบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาและวางรากฐานเพื่อป้องกันวิกฤติในอนาคต บทความนี้จะพาทุกท่านย้อนรอยประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยผ่านมุมมองของการบริหารการคลังในช่วงเวลาแห่งความท้าทาย

วิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ – บทเรียนแรกของการคลังไทย

ช่วงเวลาสำคัญเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ (Great Depression) ในปี พ.ศ. 2473 ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้รัฐบาลต้องปรับลดงบประมาณและยุบรวมหน่วยงานราชการหลายแห่ง เพื่อลดรายจ่ายของรัฐบาลให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงอย่างมาก

หนึ่งในการปรับโครงสร้างครั้งสำคัญคือการยุบกรมกษาปณ์สิทธิการลงมาเป็นเพียงโรงงานขึ้นกับกรมฝิ่นหลวง (ปัจจุบันคือกรมสรรพสามิต) ส่งผลให้โรงกษาปณ์ไทยต้องหยุดการผลิตเหรียญกษาปณ์เป็นเวลานาน แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อกิจการพื้นฐานของรัฐ

การรับมือกับวิกฤติในครั้งนั้นเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างเสถียรภาพทางการคลัง และนำไปสู่การปฏิรูประบบเศรษฐกิจและการคลังในเวลาต่อมา

การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจไทยประสบกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรง อันเป็นผลมาจากการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความเสียหายของระบบการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานจากภาวะสงคราม กระทรวงการคลังได้ดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจหลายประการเพื่อรับมือกับสถานการณ์

การดำเนินนโยบายการคลังแบบเข้มงวด การปฏิรูประบบภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการควบคุมการใช้จ่ายภาครัฐอย่างระมัดระวัง เป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยลดภาวะเงินเฟ้อและสร้างเสถียรภาพทางการคลังในช่วงเวลานั้น

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2496 เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล ซึ่งเป็นรากฐานของการก่อกำเนิดรัฐวิสาหกิจต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการคลัง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์ สถาบันการเงินเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในช่วงการฟื้นฟูหลังสงคราม และยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาจนถึงปัจจุบัน

วัฏจักรวิกฤติเศรษฐกิจและการรับมือของการคลังไทย

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้สะท้อนภาพของวิกฤติเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเคยผ่านมาไว้อย่างน่าสนใจว่า “ถ้าจะมองเรื่องการคลัง ความเข้มแข็งทางการคลัง ผมอยากให้ย้อนไปดูเรื่องเก่าๆ วิกฤตแรกที่เราเคยเจอคือช่วงปี 2527-28 มีเศรษฐกิจตกต่ำ ราคาน้ำมันสูง มีการลดค่าเงิน ซึ่งเป็นความท้าทายทางการคลังครั้งหนึ่ง แล้วก็ผ่านมาได้ ผ่านมาอีก 12 ปี เราเจอวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 แล้วเมื่อผ่านไปอีก 10-12 ปี ก็เจอวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และอีก 12 ปีต่อมาก็เจอโควิด ทุกครั้งมีความท้าทายต่อการคลังตลอด”

คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงวัฏจักรของวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกๆ ประมาณ 10-12 ปี และทุกครั้งกระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤติเหล่านั้น

วิกฤติเศรษฐกิจปี 2527-2528

ในช่วงปี พ.ศ. 2527-2528 ประเทศไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในตลาดโลก ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและการชะลอตัวของเศรษฐกิจพร้อมกัน รัฐบาลไทยในขณะนั้นต้องดำเนินการลดค่าเงินบาทเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและกระตุ้นการส่งออก ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการทางการคลังและการเงินที่สำคัญในการฝ่าฟันวิกฤติ

วิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540

วิกฤติต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 เป็นบทเรียนสำคัญของเศรษฐกิจไทยที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและกว้างขวาง เริ่มจากการที่ประเทศไทยต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 หลังจากที่ไม่สามารถรักษาระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ได้อีกต่อไป

วิกฤติครั้งนี้นำไปสู่การปฏิรูประบบเศรษฐกิจและการเงินการคลังของประเทศครั้งใหญ่ กระทรวงการคลังได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจหลายประการ เช่น การจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เพื่อแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่ล้มเหลว การออกพระราชกำหนดและกฎหมายการเงินการคลังหลายฉบับเพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ

บทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้งนำไปสู่การพัฒนาระบบการเงินการคลังของไทยให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการกำกับดูแลที่รัดกุม และมีกลไกป้องกันความเสี่ยงที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งต่อๆ มาได้ดีขึ้น

วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2551

วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ในปี พ.ศ. 2551 เป็นอีกบททดสอบสำคัญของกระทรวงการคลัง เมื่อวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ประเทศไทยได้ใช้บทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้งเพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

กระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายรูปแบบ เช่น การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบผ่านโครงการเช็คช่วยชาติ นโยบายภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค และการเพิ่มวงเงินประกันเงินฝากเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายประเทศและฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดการณ์

ความสำเร็จในการรับมือกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของระบบการเงินการคลังไทยที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น ภาคธนาคารและสถาบันการเงินของไทยในช่วงนั้นมีความมั่นคงสูง เนื่องจากได้ผ่านการปฏิรูปและเรียนรู้บทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้งมาแล้ว

การรับมือกับวิกฤติโควิด-19: ความท้าทายครั้งใหญ่ของการคลังไทย

การรับมือกับวิกฤติโควิด-19 นับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของกระทรวงการคลัง เมื่อการแพร่ระบาดส่งผลกระทบรุนแรงต่อทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการคลังได้ออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา

มาตรการทางการคลังที่สำคัญในช่วงโควิด-19 รวมถึงโครงการเราไม่ทิ้งกัน ที่มอบเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทต่อเดือนแก่แรงงานนอกระบบและผู้ประกอบอาชีพอิสระกว่า 15 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการล็อกดาวน์ โครงการคนละครึ่งและเราชนะที่กระตุ้นการบริโภคและช่วยเหลือร้านค้ารายย่อย มาตรการพักชำระหนี้สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ และการจัดสรรสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารของรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในช่วงวิกฤติ

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้เงินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การคลังไทย เพื่อนำมาใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

การดำเนินมาตรการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและการปรับตัวของนโยบายการคลังไทยในการรับมือกับวิกฤติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงความมั่นคงทางการคลังในระยะยาวด้วย

บทสรุป: บทเรียนและอนาคตของการคลังไทย

เมื่อย้อนมองกลับไปตลอด 150 ปีที่ผ่านมา เส้นทางของกระทรวงการคลังคือการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับความท้าทายในแต่ละยุคสมัย บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจในอดีตได้หล่อหลอมให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็งทางการคลังมากขึ้น และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

แต่ละวิกฤติได้สร้างบทเรียนสำคัญที่ช่วยให้ระบบการเงินการคลังของไทยพัฒนาให้มีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น มีกลไกการรับมือกับความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีเสถียรภาพที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการรับมือกับความท้าทายในอนาคต

ดังที่นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังได้กล่าวไว้ว่า “ด้วยการดูแลเรื่องการคลังโดยคนของกระทรวงการคลัง ด้วยกฎหมาย ด้วยระเบียบต่างๆ ที่เรามี ทำให้เรามีพื้นที่รองรับความเสี่ยงทางการเงินต่างๆ ได้มากพอ และเราสามารถผ่านวิกฤตทุกครั้งได้อย่างดี”

ความเข้มแข็งของการคลังไทยที่สั่งสมมาตลอด 150 ปี จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนาคต พร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในโลกที่มีความผันผวนและไม่แน่นอนมากขึ้น